C:N Ratio
เป็นเพียงทฤษฎีการออกดอกของต้นไม้ทฤษฎีหนึ่งเท่านั้นครับ
การออกดอกของพืชหลายชนิด เช่นไม้ผล มะม่วง ลำไย เป็นต้น
เมื่อใช้ทฤฏี C:N Ratio พบว่าสามารถออกดอกได้ เมื่อ C:N Ratio ถึงระดับหนึ่ง
ซึ่งไม่สามารถกำหนดเป็นค่าที่แน่นอน เพราะการออกดอกยังขึ้นกับปัจจัยอีก
หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ชนิดพืช อายุ ฤดูกาล ภูมิประเทศ แสง อุณหภูมิ
ความชื้น ล้วนมีผลต่อการออกดอกของพืชได้ทั้งสิ้น
อย่างเช่นตัวอย่างพืช 2 ชนิดที่ผมเอ่ยถึง
ในมะม่วง
ใช้วิธีการ ใช้สารควบคุมการเจริญเติบโต พวก พาโคลบิวทราโซล ราดลง
ดินไป ทำให้ มะม่วงสังเคราะห์แสงได้แต่นำไปใช้ในการเจริญเติบโตไม่ได้หรือได้น้อย
จึงสะสมในรูปของ คาร์โบไฮเดรท นั่นคือ C นั่นเอง เมื่อ C ถูกสะสมจนมีค่า
C:N Ratio ถึงระดับหนึ่ง มะม่วงก็ออกดอก
ในลำไย
ใช้สารโปตัสเซี่ยมคลอเรท สารนี้มีผลทำให้ลำไย ขาด N หรือ ลด N ในดินลง
ทำให้ N ของลำไย ใน C:N Ratio ลดลง (สมมติว่า C มันเท่าเดิม)
จนถึงค่า C:N Ratio ในระดับหนึ่ง จึงออกดอก
ถ้า จขกท. พูดถึงเฉพาะต้นไม้ในเขตร้อนอย่างประเทศไทย อาจครอบคลุมเป็นส่วนใหญ่
มีสมาชิกของชมรมเกษตรปลอดสารพิษหลาย ๆ ท่านมีข้อสงสัยและสอบถามมากับทางผู้เขียนในเรื่องของการเปิดตาดอก การเร่งตาใบ ซึ่งผู้เขียนได้ตอบคำถามเหล่านั้นในเรื่องของ “ซีเอ็นเรโช” ซึ่งหลาย ๆ ท่านไม่เข้าใจว่าซีเอ็นเรโชคืออะไร วันนี้ผู้เขียนจึงขออธิบายให้กับสมาชิกรวมถึงเกษตรกรที่เข้ามาแวะเวียนเยี่ยมเยียนเว็บไซต์ของชมรมฯ ให้มีความเข้าใจในเรื่อง “ซีเอ็นเรโช” อย่างง่าย และนำไปปฏิบัติกับสวนของตัวเอง นำไปบังคับดอกและใบ รวมไปถึงการใช้ปุ๋ยอย่างถูกวิธี เพื่อให้ง่ายในการบังคับให้ติดดอกออกผล หรืออาจจะรวมไปถึงการบังคับผลผลิตออกนอกฤดูโดยไม่ต้องใช้สารที่หยุดกระบวนการไนโตรเจนเพื่อประโยชน์ในเรื่องของต้นทุนการผลิต และสภาพต้นของพืชที่ตนเองปลูกครับ
ความหมายของซีเอ็นเรโช C = ซี ย่อมาจากคาร์บอน (Carbon), N = เอ็น ย่อมาจากไนโตรเจน (Nitrogen) และ ratio = เรโช หมายถึง สัดส่วน รวมแล้ว คือ สัดส่วนของคาร์บอนต่อไนโตรเจน ถ้าตัวเลขอยู่ใกล้กัน เรียกว่า ซีเอ็นเรโชแคบ ถ้าตัวเลขอยู่ห่างกันหรืออยู่ต่างกันมากกว่า เรียกว่า ซีเอ็นเรโชกว้าง เช่น 15: 1 คือคาร์บอน 15 ส่วน ต่อ ไนโตรเจน 1 ส่วน ซี หรือคาร์บอนได้มาจากค่าวิเคราะห์คาร์โบฮัยเดรทในพืช ซึ่งก็คือน้ำตาลและแป้งทั้งที่พืชสร้างขึ้นหรือได้รับจากการฉีดพ่นก็ตาม แต่มีอยู่ในต้นพืชแล้ว เอ็น หรือไนโตรเจน ได้มาจากการวิเคราะห์หาไนโตรเจนรวมในพืช ไม่ว่าจะได้จากการดูดขึ้นมาจากดินหรือการฉีดพ่นให้ทางใบก็ตาม
ผลที่พืชจะได้รับและแสดงออก ซีเอ็นเรโชแคบ คือเมื่อตัวเลขของคาร์บอนและไนโตรเจนอยู่ห่างกันไม่มาก ซึ่งสามารถทำให้เกิดสภาพเช่นนี้ได้โดยการใส่ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนโดยไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยเคมี หรือฉีดพ่นทางใบที่มีปุ๋ยไนโตรเจนละลายอยู่ ปกติพืชจะได้รับไนโตรเจนที่ละลายน้ำได้ง่ายและรวดเร็วกว่าปุ๋ยอื่น ๆ ทั้งที่อยู่ในรูปของไนโตรเจน, แอมโมเนีย, ยูเรียหรือที่ละลายน้ำอยู่ในรูปอื่นๆ ก็ตาม แล้วทำให้ค่าไนโตรเจนเพิ่มขึ้นทันที ในขณะที่คาร์บอนหรือคาร์โบฮัยเดรทในต้นพืชเท่าเดิม หรืออาจถูกใช้ไปบ้างเพื่อเป็นพลังงานในการดึงปุ๋ยเข้าสู่รากพืชมีผลให้ค่าซีเอ็นเรโชแคบอย่างรวดเร็ว ลักษณะดังกล่าวมีผลทำให้พืชเกิดการเจริญทางใบคือแตกยอดและใบอ่อนง่าย ทำให้ดอกออกยาก ทำให้คุณภาพผลผลิตใกล้แก่ต่ำลง ถ้าพืชยังไม่เริ่มขบวนการแก่ก็จะทำให้แก่ช้าออกไปซึ่งการแก่ช้าอาจจะเป็นผลดีสำหรับพืชผลไม้ที่รอราคา แต่เป็นผลเสียสำหรับพืชที่ต้องการขนาดของผล หากแก่ช้าผลก็ใหญ่เกินกว่าขนาดที่ตลาดต้องการ ซึ่งหากซีเอ็นเรโชแคบอย่างต่อเนื่องแม้แต่ใบก็ยังแก่ช้าออกไปด้วย
ซีเอ็นเรโชกว้าง คือเมื่อตัวเลขของคาร์บอนและไนโตรเจนอยู่ห่างกันกว่า ซึ่งการทำให้เกิดสภาพเช่นนี้กับพืชที่มีใบรุ่นใหม่สมบูรณ์และมากพอแล้ว โดยการหยุดให้ปุ๋ยไนโตรเจนทุกชนิดทั้งทางดินและทางใบ พืชก็ยังจะสังเคราะห์แสงสะสมอาหารมากขึ้นตามลำดับ โดยสร้างเด็กซ์โทรส (หรือกลูโคส) จากนั้นเปลี่ยนเป็นซูโครส (น้ำตาลทราย) ซึ่งเคลื่อนย้ายได้ง่ายกว่า แล้วเปลี่ยนเป็นแป้งหรือคาร์โบฮัยเดรทอื่นสะสมอยู่ในกิ่ง, ก้าน, ลำต้น, รากหรือหัว ในธรรมชาติเมื่อฝนหยุดตก งดการให้น้ำ น้ำในดินจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ จนละลายไนโตรเจนออกมาได้น้อย และในที่สุดแทบจะไม่ได้ดูดไนโตรเจนเข้าลำต้นเลย แต่พืชยังคงสังเคราะห์แสงที่ใบทุกวันเมื่อมีแสงแดด ซีเอ็นเรโชจึงกว้างขึ้นเป็นลำดับ ใบพืชจึงมีบทบาทที่สำคัญมากเพราะทำหน้าที่เป็นโรงงานผลิตอาหารสะสมให้ต้นพืช ผลของการมีอาหารสะสมมาก ซีเอ็นเรโชกว้างทำให้พืชออกดอกได้ง่าย ผลอ่อนร่วงน้อย โตเร็ว ผลแก่มีคุณภาพดี เมื่อผลแก่แล้วก็สุกได้ง่าย (จากเอกสารแจกสมาชิก ของชมรมเกษตรปลอดสารพิษ)
จากที่กล่าวข้างต้น สมาชิกของชมรมฯ หลาย ๆ ท่านคงจะเริ่มเข้าใจความหมายของ “ซีเอ็นเรโช” กันบ้างแล้วนะครับ ซึ่งผู้เขียนได้เขียนเรื่องการบังคับมะนาวให้ออกดอกในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม เพื่อให้ผลผลิตออกมาในช่วงหน้าแล้ง ซึ่งบทความดังกล่าวที่เขียน ๆ ไว้ก็อิงจาก “ซีเอ็นเรโช” นี่แหละครับ ซึ่งระบบดังกล่าวนี้ไม่ได้ใช้เฉพาะมะนาวนะครับ แต่รวมถึงพืชทุกชนิดที่ต้องการให้ออกดอก การบังคับดอกโดยไม่ให้พืชอดน้ำ บังคับกันที่ระบบ “ซีเอ็นเรโช” จะทำให้พืชที่เราปลูกไม่โทรมเมื่อมีดอกออกผลดกมาก การให้น้ำอย่างสม่ำเสมอจะทำให้พืชมีการเจริญเติบโตดี ดอกและผลที่ออกมาไม่หลุดร่วงง่ายเพราะปริมาณไนโตรเจนที่มากับน้ำฝนและไนโตรเจนในดินที่ตกค้างเมื่อทำละลายกับน้ำในช่วงที่ฝนตกหนัก
หากสมาชิกหรือเกษตรกรท่านใดมีปัญหาสงสัยในเรื่องของ “ซีเอ็นเรโช” และการบังคับการแตกใบ แตกดอกของพืชผักไม้ผลทุกชนิดก็สามารถสอบถามมาที่ผู้เขียนโดยตรงได้ที่โทร. 08-1646-0212 ยินดีให้คำแนะนำสำหรับสมาชิกหรือเกษตรกรทุกท่านครับ
C/N Ratio ( ซี/เอ็น เรโช ) คือค่าความแตกต่างระหว่าง คาร์บอน กับ ไนโตรเจน ที่มีอยู่ในโครงสร้างของพืช ...ค่ะ
C คือ คาร์บอน N คือ ไนโตรเจน
N คือ ไนโตรเจน ถ้าเป็นปุ๋ย คือ 46-0-0 หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "ยูเรีย"
N หรือ ไนโตรเจน เป็นธาตุที่มีการสูญเสียขึ้นอากาศไปได้ง่ายๆ เมื่อถูกความร้อน และ เป็นธาตุที่ละลายไปกับน้ำ และซึมผ่านลงในดินได้รวดเร็ว พอๆ กับละลายไหลไปตามน้ำที่ชะหน้าดิน เมื่อมีฝนตกหนักๆ
***ดังนั้นในเรื่องของ "ยูเรีย" สรุปว่า อย่าเอาถุงปุ๋ยยูเรียไปตากแดด ควรเก็บไว้ในทีร่ม และเมื่อใส่ปุ๋ยยูเรียแล้ว อย่าปล่อยทิ้งให้ตากแดดนาน ควรเขี่ยดินกลบ หรือรีบรดน้ำ เพื่อให้ปุ๋ยละลายซึมลงดินให้รวดเร็วที่สุด
***ชาวบ้านบอกว่าตากแดดตั้งนานแล้ว ก็ยังเห็นมันตั้งอยู่ทั้งกระสอบ ไม่เห็นหายไปไหนเลย ค่ะ.. ถูกต้อง ปุ๋ยยูเรียที่ตากแดด มันยังเหลืออยู่ทั้งกระสอบ แต่ที่เห็นอ่ะ... มีเหลือแต่แคลเซี่ยมที่ใช้เป็นตัวจับธาตุไนโตรเจน...ค่ะ
***วันไหนฝนตก น้ำฝนจะนำไนโตรเจนที่มีอยู่มากมายในอากาศ เอากลับลงมาด้วยค่ะ
*** ธาตุคาร์บอนในดิน นอกจากโครงสร้างตัวมันเองจะช่วยให้ดินพลุน ซับซึมน้ำผ่านได้ดีแล้ว ปริมาณคาร์บอนยังช่วยให้ค่าความแตกต่างระหว่าง C/N Ratio แคบ หรือ กว้าง ได้ ดังนี้น
***ถ้าค่า C/N Ratio แคบ ต้นไม้จะเจริญทางกิ่ง และใบ
***ถ้าค่า C/N Ratio กว้าง จะส่งผลให้มีการติดดอกเจริฐพันธุ์ได้...ค่ะ
*** ในธรรมชาติจะมีธาตุคาร์บอนมากว่าในโตรเจนอยู่แล้ว แต่ถ้าฝนตกมาก ค่าของ N จะเพิ่มขึ้น กระเถิบเข้ามาหาจนใกล้เคียง C หรือมากกว่า ทำให้ต้นเติบโต ใบเขียว สมบูรณ์ดีค่ะ .....แต่มันจะไม่ออกดอก
*** ถ้าฝนตกน้อย และมีการเพิ่มเติมส่วนที่เป็นคาร์บอนลงไป จะทำให้ ค่าของ N กับ C ห่างกันมากขึ้น จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้มีการติดดอกลำไย....มากขึ้นได้ค่ะ
*** เมื่อลำใยอยู่ในช่วงระหว่าง วัดใจว่า ระหว่าง ตาใบ กับ ตาดอก ใครจะเบียดใคร การปรับค่า C/N Ratio ให้แคบเข้า จะทำให้ตาใบเจริญมากกว่าตาดอก ส่งผลให้ต้นลำไย ใบเขียวพรึบ...ค่ะ คนปลูกที่ต้องการผลลำไย คงไม่ชอบแบบนี้แน่ ดังนั้น อย่าลืมว่า เราต้องถ่างค่า C ให้มากขึ้นค่ะ เราจึงควรเติมคาร์บอนลงไปในดินบ้าง...นะคะ
***แต่ถ้าอยู่ในช่วงปลูกใหม่ อยากสร้างลำต้น ก็ไม่จำเป็นต้องใส่คาร์บอนลงไปมากนัก แต่ถ้าปีถัดไป เตรียมจะราดสารทำดอกลำไย อย่าลืมเติมคาร์บอน...ละกัน
*** เมื่อลำไยติดผลแล้ว ควรปรับค่าของ N ให้แคบเข้าหา C โดยจะทำให้ N มีค่าเท่ากับ C หรือจะให้มากเกินกว่า C ก็ได้ ด้วยการใส่ไนโตรเจนเพิ่มเข้าไป จะสามารถกระตุ้นให้ผลลำไยมีขนาดใหญ่ขึ้นได้ และสุกช้า...ค่ะ ลูกลำไยจะมีผิวสีเขียวเจือๆ เลยล่ะ และที่สำคัญให้ใส่เฉพาะในช่วงการพัฒนาผลลำไยเท่านั้น...นะคะ
อ้อ! ช่วงนี้ อย่าลืมเติม "โบรอน" ด้วยนะคะ เพื่อช่วยให้ผนังเซลล์ของเปลือกลำไยมีความยืดหยุ่นตัว สามารถขยายผลได้ ถ้าไม่เติมเปลือกลำไยจะแตก แล้วอย่าลืมรดน้ำให้ต้นลำไยซะด้วยล่ะ ยกเว้นฝนตก ไม่ต้องรดน้ำ...ค่ะ
** ประการสำคัญ คาร์บอน เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างของเนื้อเยื้อชั้นนอก หรือที่เราเรียกว่าเปลือก คาร์บอนจะช่วยให้ลำต้นของลำไย มีขนาดใหญ่ และแข็งแรงขึ้นค่ะ
C / N Ratio หมายถึง สัดส่วนของคาร์บอนต่อไนโตรเจน
C หรือ คาร์บอน
คาร์โบไฮเดรทในพืช ซึ่งก็คือน้ำตาลและแป้งทั้งที่พืชสร้างขึ้นหรือได้รับจากการฉีดพ่นก็ตาม แต่มีอยู่ในต้นพืชแล้ว
N หรือ ไนโตรเจน
ไนโตรเจนในพืช ไม่ว่าจะได้จากการดูดขึ้นจากทางรากหรือการฉีดพ่นให้ทางใบก็ตาม แต่มีอยู่ในต้นพืชแล้ว
ในกรณีที่ต้องการให้กล้วยไม้ออกดอก เราจะใช้การทำให้ C / N ratio กว้าง เพื่อกระตุ้นให้กล้วยไม้ออกดอก จะทำเมื่อสภาพของกล้วยไม้สมบูรณ์
การเพิ่ม C ให้กับพืช
การใช้ผลิตภัณฑ์ Evergreen Grow-Up 1 ,2 และ Evergreen Capsule เป็นตัวช่วยกระตุ้นให้พืชสังเคราะห์แสงและสะสมอาหารมากขึ้น โดยสร้างเด็กซ์โทรส (หรือกลูโคส) จากนั้นเปลี่ยนเป็นซูโครส (หรือน้ำตาล) ซึ่งเคลื่อนย้ายได้ง่ายกว่า แล้วเปลี่ยนเป็นแป้งหรือคาร์โบไฮเดรท สะสมอยู่ในพืชมากขึ้นเป็นการทำให้พืชสะสม C ( คาร์บอน ) มากขึ้น C / N ratio ก็กว้างขึ้น
การกระตุ้นให้พืชสะสมอาหารมากขึ้น เป็นการบังคับระบบ C / N ratio ให้กับกล้วยไม้ ทำให้ได้ดอกที่สมบูรณ์ ไม่เหี่ยวหรือหลุดร่วงง่าย และมีผลต่อการติดฝักของกล้วยไม้สูง
การลด N ให้กับพืช
คือการงดการให้น้ำ จนละลายไนโตรเจนออกมาได้น้อย หรือจนในที่สุดพืชแทบจะไม่ได้ดูดไนโตรเจนเข้าลำต้นเลย แต่พืชยังคงสังเคราะห์แสงที่ใบทุกวันเมื่อมีแสงแดด C / N ratio จึงกว้างขึ้น
การงดการให้น้ำ เป็นการบังคับ ระบบ C / N ratio ให้กับกล้วยไม้ก็จริง แต่ถ้ามากเกินไป ก็มีผลทำให้กล้วยไม้โทรม ดอกที่ออกก็หลุดร่วงง่าย
ใบของกล้วยไม้จึงมีบทบาทที่สำคัญมากเพราะทำหน้าที่เป็นโรงงานผลิตอาหารสะสมให้ต้น ผลของการมีอาหารสะสมมาก มีผลให้ C / N ratio กว้าง ทำให้พืชออกดอกที่สมบูร์ได้ง่าย ต้นไม่โทรม
ใช้น้ำตาลทรายละลายน้ำพ่น เพื่อเพิ่ม c ได้มั๊ยครับ
ตอบลบ